[ข้อห้าม หลังฉีดโบท็อก] หากอยากให้โบท็อกอยู่ได้นานกว่าปกติ สลายตัวช้า ควรปฏิบัติตัวอย่างไร

ข้อห้าม หลังฉีดโบท็อก

ฉีดโบท็อก (โบทูลินั่ม ท็อกซิน) เป็นหัตถการที่ผู้คนต่างให้ความสนใจและนิยมทำกันมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องในทุกวันนี้ เพราะราคาไม่แพง สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องรอนาน และตามปรกติจะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

คนไข้อาจต้องฉีดโบท็อกบ่อยขึ้น หากละเลยการปฏิบัติตัวตามขั้นตอนอย่างเหมาะสม ซึ่งนอกจากจะสิ้นเปลืองเงินมากขึ้นแล้ว ยังเสี่ยงที่จะเกิดการดื้อโบท็อกได้ง่ายขึ้นด้วยครับ

ซึ่งบทความในวันนี้คุณหมอจะพูดถึงงานวิจัยล่าสุดแบบเจาะลึก ถึงวิธีการปฏิบัติตัวอย่างไรที่จะช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานยิ่งขึ้นทั้งก่อนฉีดและหลังฉีดโบท็อก

หากคนไข้ศึกษาและเข้าใจถึงเรื่องกลไกการออกฤทธิ์ของโบท็อกเป็นอย่างดีแล้ว คนไข้จะเข้าใจในวิธีปฏิบัติตัวก่อนฉีด-หลังฉีดโบท็อกว่าทำเพื่ออะไร และจะทำให้จำง่ายขึ้นอีกด้วยครับ

เซลล์ประสาท

โบท็อก เป็นโปรตีน ลักษณะเป็นในน้ำใส ๆ ซึ่งจะแยกเป็น 2 ส่วนเมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อแล้ว

·         ส่วนที่ 1 ถ้าส่วนนี้มีความเข้มข้นสูงจะช่วยให้ผลการฉีดโบท็อกอยู่ได้นานมากขึ้น เพราะเป็นส่วนเดียวเท่านั้นที่จะออกฤทธิ์ และเป็นส่วนที่จะถูกดูดซึมเข้าไปเก็บเอาไว้ในเซลล์ประสาท

·         ส่วนที่ 2 หลังฉีดภายในช่วงเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงส่วนนี้จะปลิวไปตามกระแสเลือด เสียไปฟรี ๆ โดยไม่มีผลต่อเซลล์อื่น ๆ ของร่างกาย แต่จะถูกขับออกไปจากร่างกายในที่สุด เพราะเป็นส่วนที่ไม่ถูกดูดซึม

ก่อนฉีดโบท็อกมีวิธีปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อจะทำให้ส่วนที่ 1 เข้มข้นขึ้น อยู่ได้นานกว่าปกติ และทำให้โบท็อกส่วนที่ 2 ปลิวไปน้อยที่สุด

1. ควรเลือกฉีดด้วยโบท็อกแท้เท่านั้น

เนื่องจากโบท็อกแท้ฉีดจุดไหนจะอยู่จุดนั้น จะมีการกระจายตัวต่ำ จึงทำให้การปลิวหายไปเกิดขึ้นน้อยลง

ข้อสำคัญคือก่อนฉีดทุกครั้งต้องตรวจสอบว่าเป็น “โบท็อกของแท้” เท่านั้น

·         ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อกซ์ คนไข้ควรเตรียมศึกษาวิธีสังเกตโบท็อกแท้ยี่ห้อต่าง ๆ

·         ขอให้คุณหมอแกะกล่อง เปิดขวด และทำการผสมโบท็อกให้ดูต่อหน้า

·         ขอกล่องและขวดกลับบ้านหลังฉีดเสร็จ หรือขอถ่ายรูปเก็บไว้ตรวจสอบในภายหลัง

ในคลินิกที่ใช้ของแท้ย่อมยินดีให้เราตรวจสอบได้แน่นอน เพื่อให้คนไข้มั่นใจว่าได้ฉีดโบท็อกของแท้จริง ๆ  

วิธีตรวจสอบโบท็อกแท้-Allergan

พบว่าโบท็อกอเมริกาจะมีค่าการกระจายตัวต่ำที่สุด หากเปรียบเทียบกับโบท็อกยี่ห้ออื่น ๆ แต่ราคาของโบท็อกอเมริกาก็จะสูงกว่าเป็นเท่าตัวด้วย 

2. ก่อนฉีดต้องมีการผสมน้ำเกลือ

โบท็อกแท้อยู่ในรูปแบบสูญญากาศแห้ง ๆ ในทุกยี่ห้อ ซึ่งจะไม่มีน้ำ เมื่อจะดูดออกมาฉีดจะต้องใส่น้ำเกลือลงไปละลาย น้ำเกลือ 2.6 CC ต่อ โบท็อก 100 ยูนิตคือปริมาณความเข้มขันที่เหมาะสม

ซึ่งหากเจือจางน้ำเกลือมากเกินไป จะส่งผลให้โบท็อกปลิวไปง่ายขึ้น

วิธีตรวจสอบโบท็อกแท้

หากผสมเป็นน้ำแล้วมาฉีดให้เลย คนไข้จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นการผสมน้ำเกลือแบบเข้มข้นหรือเจือจาง ดังนั้น เราควรขอให้แพทย์ผสมโบท็อกต่อหน้าก่อนฉีดทุกครั้ง จะได้มั่นใจว่าไม่ได้เจือจางน้ำเกลือมากจนเกินไป

3. เทคนิคในการฉีด

ถ้าหมอที่ฉีดให้ไม่มีความชำนาญและหากฉีดไม่ตรงจุด แม้ว่าจะได้ผล แต่ก็จะเห็นผลช้าและอยู่ได้สั้นลงกว่าที่ควร เพราะจะต้องรอโบท็อกแพร่กระจายจากจุดที่ฉีดมายังปลายเซลล์ประสาท

ดังนั้น คนไข้จึงควรเลือกฉีดโบท็อกกับคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพราะเพื่อให้สามารถประเมินกล้ามเนื้อที่จะฉีดได้ว่า ความลึกในแต่ละจุดไหนเป็นเท่าไร ซึ่งเป็นจุดที่เซลล์เส้นประสาทมาเกาะกล้ามเนื้อ

โดยส่วน 2 ที่ปลิวกระจายไปอาจจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้ทำให้ดื้อโบท็อกตามมา

4. โบท็อกที่ใช้ฉีดในแต่ละครั้ง ไม่ควรใช้จำนวนยูนิตเกิน 300 ยูนิต

·         ไม่ควรใช้เทคนิคการฉีดที่ไม่ได้ฉีดโบท็อกเข้าในกล้ามเนื้อโดยตรง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อยา

·         หากใช้จำนวนยูนิตเกิน อาจเพิ่มโอกาสที่ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานได้ง่ายขึ้น

·         หลีกเลี่ยงการใช้จำนวนยูนิตน้อยเกินไปในแต่ละจุด เนื่องจากอาจส่งผลให้โบท็อกหมดฤทธิ์ไว ทำให้ต้องฉีดบ่อยขึ้น และยังเสี่ยงต่อการดื้อโบท็อกด้วย

ซึ่งคุณหมอจะเป็นผู้ประเมินคนไข้ในแต่ละเคสและแจ้งให้ทราบถึงปริมาณยูนิตที่เหมาะสมที่ควรใช้ฉีด

5. ระหว่างการฉีด ควรใช้การประคบเย็น

เพื่อช่วยลดการไหลเวียนของเส้นเลือดบริเวณที่ฉีดโดยรอบ ป้องกันไม่ให้โบท็อกปลิวออกไป ให้อยู่เฉพาะจุดที่หมอต้องการฉีด การประคบด้วยความเย็นจึงเป็นสิ่งที่ควรทำระหว่างฉีดครับ

ควรปฏิบัติตัวอย่างไร หลังฉีดโบท็อก เพื่อทำให้ โบท็อกสลายช้าที่สุด

6.1 ให้รีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง หลังฉีดโบท็อกทันทีในแต่ละบริเวณ

เมื่อฉีดโบท็อกเสร็จทั้งหมดแล้ว เราควรจะบริหารกล้ามเนื้อทั้งหมดที่ฉีดเป็นระยะเวลาประมาณ 30 นาที เพื่อช่วยให้เซลล์ประสาทดูด botox เข้าไปให้มากที่สุด รวมทั้งให้เหลือส่วนที่จะปลิวไปน้อยที่สุด

เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดโบท็อกเข้าเซลล์ประสาทได้โดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง ดังนั้นในขณะที่เรากำลังขยับกล้ามเนื้อหลังฉีดเสร็จจึงไม่ควรประคบเย็น

สรุปได้ว่า ตอนฉีดเราจะใช้ความเย็นบล็อกรอบ ๆ เพื่อช่วยให้โบท็อกอยู่เฉพาะจุดที่ต้องการฉีด ถัดจากนั้นเมื่อฉีด botox เสร็จทันทีเราจึงควรขยับกล้ามเนื้อเพื่อช่วยดึงให้โบท็อกเข้าเซลล์นั่นเอง

รีวิวโบท็อกหน้าผาก-โบท็อกหางตา-โบท็อกขมวดคิ้ว

ตัวอย่างรีวิวผลการรักษาด้วยโบท็อก

ตามรูปฝั่งซ้ายมือ เราควรรีบขยับกล้ามเนื้อหลังจากฉีดโบท็อกเสร็จทันที รวมถึงถ้าเป็นการฉีดโบท็อกกรามหลังฉีดควรใช้วิธีเคี้ยวหมากฝรั่งหรือกัดฟันทันที

6.2 งดเว้นการนอนราบ 3 ชั่วโมง หลังจากฉีดโบท็อก

คนไข้สามารถเกิดหน้าบวมขึ้นได้ เป็นอาการปรกติหลังฉีดโบท็อก ซึ่งควรดูแลตัวเองไม่ควรไปแกะ เกา หรือนวดในบริเวณที่ฉีด

อีกทั้งเรายังควรหลีกเลี่ยงการก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจ เพราะจะส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปที่หน้ามากยิ่งขึ้น จะทำให้โบท็อกปลิวไปเยอะขึ้นด้วย

โบท็อกส่วนที่ 1 ซึ่งอยู่ในเซลล์ประสาท และทำหน้าที่ยับยั้งกล้ามเนื้อ หลังการฉีดอาจต้องใช้เวลาประมาณ 7-14 วันจึงจะเริ่มเห็นผล เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากนั้นความเข้มข้นของโบท็อก รวมทั้งประสิทธิภาพในการยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อก็จะค่อย ๆ ลดลงไปตามลำดับ

สาเหตุสำคัญหลัก ๆ ที่โบท็อกจะย่อยสลายไวขึ้นหรือไม่นั้นก็คือ การไหลเวียนของเลือด (Metabolism) รวมทั้งความร้อน

7.1 ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง โดยเฉพาะการเจอกับความร้อนทุกชนิด

สิ่งที่ควรงดเว้น อาทิเช่น ออกกำลังกายอย่างหนัก, การเข้าซาวน่า, ตากแดด, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, เลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด เช่น thermage RF

นอกจากนี้ยังไม่ควรก้มหัวต่ำกว่าอก  และหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ โดยเฉพาะในช่วงหลังฉีดโบท็อก 2 สัปดาห์แรก หรือหากหลีกเลี่ยงตามคำแนะนำไม่ได้จริง ๆ ก็ควรงดให้ได้อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีดครับ

ห้ามดื่มเหล้าเบียร์

หลังฉีดโบท็อกแล้วในระยะ 14 วัน อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคืออะไรบ้าง (หากทำไม่ได้ ควรงดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง)

·         หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดมาก ๆ แสบร้อนจนหน้าแดง

·         หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกหมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู ที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ

·         หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เหล้า เบียร์ ไวน์ น้ำหมัก

·         หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง มะม่วงดอง เพราะมีสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว

·         เนื่องจากในบุหรี่มีสารหลายชนิดที่จะไปขยายหลอดเลือด จึงควรงดการสูบบุหรี่

กิจกรรมต่าง ๆ ดังที่กล่าวข้างต้นนี้หากพ้นช่วงเวลา 2 สัปดาห์ไปแล้ว อาจส่งผลต่ออายุของโบท็อกอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก

แต่สำหรับกิจกรรมที่เข้าซาวน่า หรือการทำเลเซอร์ร้อนจะส่งผลกระทบมากที่สุด

ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องหยุดกิจกรรมการออกกำลังกาย แค่หลีกเลี่ยงความร้อนเท่าที่พอจะทำได้เท่านั้น เพราะการออกกำลังกายช่วยให้ผิวใสขึ้น และดีต่อสุขภาพ

ออกกำลังกายซาวน่า

เมื่อฉีดโบท็อกเสร็จแล้วในช่วงระยะเวลา 14 วัน ควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ความร้อน รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะทำให้หน้าแดงด้วย หรือถ้าหากทำไม่ได้ก็ขออย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีด 

7.2 ในกรณีที่คนไข้มีคอร์สนวดหน้า เลเซอร์ ทำหน้า ที่ต้องทำอยู่แล้วเป็นประจำ

หลังฉีดโบท็อกหากต้องการจะไปทำหน้าได้อีกจำเป็นต้องงดไปอีกถึง 2 สัปดาห์ ดังนั้น ก่อนที่จะมาฉีดโบท็อก ควรทำเลเซอร์ นวดหน้า หรือทำหน้ามาให้เรียบร้อย

แร่ธาตุ สังกะสี (zinc) เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการทำงานของโบท็อกที่อยู่ในเซลล์ประสาท และจากการสำรวจพบว่า 30% ของชาวเมริกันมีอาการขาดธาตุสังกะสี หากแต่ยังไม่มีการสำรวจในคนไทย โดยจะส่งผลให้ผลการฉีดโบท็อกอยู่ได้สั้นลง รวมทั้งโบท็อกออกฤทธิ์ได้น้อยลงและช้าลงด้วย https://www.ncbi.nlm.nih.gov/m/pubmed/22453589/

8. การกินแร่ธาตุสังกะสี (zinc) 50 mg ก่อนและหลังการฉีดโบท็อก ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า จะช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น โบท็อกออกฤทธ์ดีขึ้นและไวขึ้นด้วย

ในคนไข้บางเคสอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงของโบท็อกได้มากขึ้น เนื่องจากเสริมฤทธิ์รุนแรงจนเกินไป แนะนำว่าควรทานตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น หากจะทานธาตุสังกะสีในปริมาณมาก

ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่จะใช้ในคนไข้รายที่มีอาการขาดแร่ธาตุสังกะสีชัดเจน หรือในผู้ที่เริ่มดื้อโบท็อกเท่านั้น ซึ่งจะมีอาการคือฉีดโบท็อกซ์แล้วอยู่ได้ไม่นาน

หากกินจากอาหาร หรือกินในปริมาณปรกติ คือไม่เกิน 15-20 mg/วัน ดังที่ Thai RDA กำหนด จะสามารถกินเสริมได้ตามปรกติ

การขาดสังกะสีจะมีอาการคือ ผมร่วงแตกปลาย, เล็บแห้งเปราะหักง่าย, ผิวแห้งลอก , เป็นแผลเรื้อรังรวมถึงเป็นผื่นง่าย ทั้งนี้ ถ้าคนไข้ลองสังเกตตัวเองแล้วพบว่ามีอาการขาดธาตุสังกะสี แนะนำให้กินก่อนหรือหลังฉีดโบท็อกได้ ซึ่งจะช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น

หอยนางรม

ข้อมูลเกี่ยวกับแร่ธาตุสังกะสีในอาหาร

·         ในพืชผักผลไม้ มีปริมาณสังกะสีน้อย และดูดซึมได้ยาก

·         ไข่แดง มีสังกะสีประมาณ 1.5 mg/100 g

·         เนื้อสัตว์ อาหารทะเล มีสังกะสีประมาณ 1.5-4 mg/100 g

·         ตับ มีสังกะสีประมาณ 4-7 mg/100 g

·         หอยนางรม มีสังกะสีประมาณ 75 mg/100 g

ข้อมูลดังรายละเอียดข้างบนนี้ เราจะเห็นได้มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่อาจขาดสังกะสี ซึ่งในคนที่ยิ่งมีอายุมากขึ้นก็จะยิ่งมีความเสี่ยงที่จะขาดธาตุสังกะสีมากขึ้นอีกด้วย

หากกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานต่อเนื่องนาน ๆ ผลจากโบท็อกจะอยู่ได้นานขึ้น  เพราะเมื่อเวลาผ่านไปขนาดกล้ามเนื้อจะเล็กลง และกลับมาทำงานได้ยากขึ้น

ตรงข้ามกับผู้ที่ชอบยิ้มบ่อย เลิกคิ้วบ่อย หรือเคี้ยวอาหารเหนียวนาน ๆ เกินจำเป็น ย่อมทำให้กล้ามเนื้อถูกกระตุ้นให้ใช้งานบ่อย จนกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ทำให้โบท็อกอยู่ได้สั้นลง

9. ควรฉีดโบท็อกในระยะที่เหมาะสม และฉีดอย่างต่อเนื่อง

·         ไม่ควรเว้นระยะห่างนานเกินไป เช่น เว้นห่างเกิน 5-6 เดือน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ปรกติ จนอาจทำให้ต้องฉีดโดยการใช้ยูนิตของโบท็อกที่เยอะมากขึ้น

·         อย่างน้อยควรเว้น 3 เดือน ไม่ควรฉีดถี่จนเกินไป

10. เมื่อฉีดโบท็อกในแต่ละจุดเสร็จแล้ว ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง

ควรบริหารกล้ามเนื้อทั้งหมดที่ฉีด นานประมาณ 20 นาที หลังจากฉีดเสร็จ

จากนั้น คนไข้ควรพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมโดยขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดให้น้อยลง เช่น หลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารเหนียว ๆ เช่น ปลาหมึกแห้ง เพราะถ้าเราไปกระตุ้นกล้ามเนื้อบ่อย ๆ จะทำให้เซลล์เส้นประสาทงอกขึ้นมาใหม่ได้เร็วขึ้น

ซึ่งเซลล์ประสาทที่งอกขึ้นมาก็จะสามารถขยับกล้ามเนื้อได้ ถึงแม้โบท็อกจะยังไม่หมดฤทธิ์ก็ตาม

ทั้งนี้ การขยับกล้ามเนื้อยังทำให้โบท็อกส่วนที่ 1 ที่ถูกเก็บไว้ในเซลล์ประสาท สลายไปได้ไวขึ้น เพราะจะไปเพิ่มการไหลเวียนกระแสเลือดในบริเวณนั้น

สรุปข้อควรปฏิบัติในแต่ละช่วงเวลา ในการฉีดโบท็อก

สรุป-timeline-ข้อปฎิบัติตัวในการฉีดโบท็อก-1
timeline-ข้อปฎิบัติตัวในการฉีดโบท็อก-2

รูป สรุป Timeline ข้อปฏิบัติตัวในการฉีดโบท็อก-1

ก่อนฉีดโบท็อก

·         ควรเตรียมตัวล่วงหน้าด้วยการศึกษาข้อมูลวิธีสังเกต โบท็อกแท้ ดังข้อมูลด้านบนใน ข้อ 1. และ ข้อ 2.

·         ควรเลือกฉีดในคลินิกที่ได้มาตรฐาน กับคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญตาม ดังข้อมูลด้านบนใน ข้อ 3, ข้อ 4.

·         2-3 วันก่อนฉีด ควรงดกินยาในกลุ่มที่ลดการแข็งตัวของเลือดเช่น NSAIDs, แอสไพริน รวมถึงควรงดสครับหน้า เพื่อช่วยลดโอกาสที่จะเกิดอาการเขียวช้ำบริเวณที่ฉีด

·         เนื่องจาก หลังฉีดจะต้องงดไป 2 อาทิตย์ จึงจะทำหน้าต่อได้ ดังนั้น หากมีคอร์สนวดหน้า ทำหน้า หรือคอร์สเลเซอร์ที่ต้องทำเป็นประจำ ควรถือโอกาสทำมาให้เรียบร้อย ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อก

·         หากอยากให้โบท็อกออกฤทธิ์ได้ไวยิ่งขึ้น  ในผู้ที่มีอาการขาดธาตุสังกะสี (ดังข้อมูลด้านบนใน ข้อที่ 8.) ควรเริ่มกินอาหารที่มีธาตุสังกะสี หรือกินอาหารเสริม ในปริมาณที่ไม่เกิน 20 mg/วัน โดยไม่จำเป็นต้องกินก่อนฉีดก็ได้ สามารถกินหลังฉีดก็ได้เช่นกัน ก็จะสามารถช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้นกว่าปกติ

·         หากคนไข้มีข้อห้ามในการฉีดโบท็อกต้องปรึกษาแพทย์

ระหว่างฉีดโบท็อก

·         ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันทีประมาณ 1-2 ครั้ง (ดังข้อมูลในข้อ 6.1) หลังจากที่ฉีดโบท็อกลดกราม รวมทั้งในบริเวณอื่น ๆ เสร็จทันที

·         ควรบริหารกล้ามเนื้อทั้งหมดบริเวณที่ฉีด โดยการเคี้ยวหมากฝรั่ง ยิ้มเยอะ ๆ ยักคิ้ว ขมวดคิ้ว เป็นระยะเวลาประมาณ 30 นาที เมื่อฉีดเสร็จทั้งหมดแล้ว

หลังจากฉีดโบท็อกเสร็จแล้ว 3 ชั่วโมง

·         ควรป้องกันไม่ให้ความเย็นไปขัดขวางการดูดโบท็อกเข้าเซลล์ประสาท  โดยหลีกเลี่ยงการประคบเย็น ดังข้อมูลในข้อ 6.1

·         หลีกเลี่ยงการก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจ และยังไม่ควรนอนราบ ดังข้อมูลในข้อ 6.2

หลังฉีดโบท็อก 24 ชั่วโมง

·         สามารถแต่งหน้าได้ตามปรกติ รวมถึงการทาครีมทับบริเวณรอยเข็มได้

หลังฉีดโบท็อก 48 ชั่วโมง

·         ถ้าเราสามารถหลีกเลี่ยงความร้อน รวมทั้งอาหารต้องห้าม ดังในข้อ 7.1, ข้อ 7.2 ได้ ย่อมจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากโบท็อก ถึง 90 % จากปรกติแล้ว

หลังฉีดโบท็อก 2-3 วัน

·         ในคนไข้บางเคส หลังฉีดเสร็จครบ 2-3 วัน จะเริ่มเห็นผลจากการฉีดลดริ้วรอยบางส่วน

·         คนไข้บางเคสอาจเกิดผลข้างเคียงชนิดที่ไม่เป็นอันตราย อาทิเช่น ตาพร่า ปวดหัว คอแห้ง แต่เป็นเพียงผลข้างเคียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งอาการปวดหัวสามารถประคบเย็นได้ รวมทั้งสามารถหายไปเองได้ภายใน 7-14 วัน กรณีหากเป็นมากควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจรักษาต่อไป

หลังฉีดโบท็อก 7-10 วัน

·         หลังฉีดโบอาการที่อาจพบได้ภายหลังก็คือ หน้าอาจบวมได้เล็กน้อย แต่เราไม่ควรประคบร้อน อาจจะยังมีรอยเขียวช้ำอยู่บ้าง แต่จะค่อย ๆ จางหายไปเอง ภายในเวลา 14 วัน

หลังฉีดโบท็อก 14 วัน

·         ถ้าเราสามารถหลีกเลี่ยงความร้อนและอาหารต้องห้าม ดังในข้อ 7.1, ข้อ 7.2 ได้จนครบถึง 14 วัน คนไข้ก็จะได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากโบท็อกถึง 100% จากปรกติ

·         เมื่อครบ 14 วัน จะเห็นผลจากการฉีดโบท็อกลดกรามคือ กัดกรามจะไม่เด้ง แต่กรามจะยังไม่ยุบลง จะกรามยุบเต็มที่ต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือน

·         เมื่อครบ 14 วัน คนไข้ก็จะเห็นผลจากการฉีดโบท็อกลดริ้วรอยเกือบเต็มที่แล้ว

หลังฉีดโบท็อก 14 วัน จนถึงการฉีดโบท็อกครั้งต่อไป

·         สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ แต่ยังไม่ควรโดนความร้อน

·         ควรรับประทานอาหารหรืออาหารเสริมที่มีแร่ธาตุสังกะสี ดังข้อมูลในข้อ 8.

·         การฉีดโบท็อก ควรทำอย่างต่อเนื่องและในระยะที่เหมาะสม อย่างน้อยควรเว้น 3 เดือนไม่ฉีดถี่เกินไป และไม่ควรเว้นเกิน 5-6 เดือน ไม่เว้นระยะห่างนานจนเกินไป ดังข้อมูลในข้อ 9.

·         ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยขยับกล้ามเนื้อจุดที่ฉีดโบท็อกให้น้อยลงกว่าปกติ ดังข้อมูลในข้อ 10.

[ข้อห้ามการฉีดโบท็อก] อ้างอิงจาก

https://www.allergan.com/miscellaneous-pages/allergan-pdf-files/botox_med_guide

https://www.drugs.com/drug-interactions/onabotulinumtoxina,botox-index.html

ข้อห้ามของการฉีดโบท็อก แบบที่ไม่สามารถฉีดได้ (Absolute contraindication)

·         คนไข้ที่มีภาวะติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

·         คนไข้ที่มีปัญหาเรื่อง กล้ามเนื้อในการกลืน

·         คนไข้ที่มีอาการติดเชื้อที่ผิวหนังในจุดที่จะฉีดโบท็อก

·         คนไข้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงต่าง ๆ อาทิเช่น

–          amyotrophic lateral sclerosis (ALS)

–          Lou Gehrig’s disease

–          myasthenia gravis

–          Lambert-Eaton syndrome

·         คนไข้ที่มีปัญหาเรื่อง โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น โรคถุงลมโป่งพอง โรคหอบหืด อาจมีอันตรายถึงชีวิต

ข้อห้ามการฉีดโบท็อก แบบที่ควรระวัง

สามารถฉีดได้ แต่คนไข้จะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

·         คนที่มีอายุอยู่ในช่วง 12-18 ปี ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะมีการศึกษารับรองความปลอดภัยในบางกรณีเท่านั้น

·         ยังไม่มีการศึกษาที่รับรองความปลอดภัยของการฉีดโบท็อก ในคนที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี

·         ในคนที่เคยมีประวัติแพ้ส่วนผสมของโบท็อกมาก่อน

ซึ่งในโบท็อกนั้นจะประกอบด้วย : Botulinum toxin type A, Human albumin, Sodium chloride

ข้อมูลอื่นๆ ที่คนไข้ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อก มีอะไรบ้าง

·         เป็นผู้อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ ซึ่งในทุกวันนี้ยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันว่า โบท็อกเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่

·         เป็นผู้ที่อยู่ในช่วงการให้นมบุตร ซึ่งในทุกวันนี้ยังไม่มีการศึกษายืนยันว่า โบท็อกสามารถผ่านไปทางน้ำนมแม่ได้หรือไม่

·         ถ้าเคยเข้ารับการผ่าตัดที่ใบหน้ามาก่อน

·         ถ้าคนไข้เคยทำหัตถการต่าง ๆ ที่เคยทำบนใบหน้ามาก่อน เช่น ร้อยไหม เมโส โบท็อก ฟิลเลอร์ รวมถึงเลเซอร์ชนิดต่าง ๆ

·         ถ้าคนไข้เคยมีผลข้างเคียงมาก่อน ในการฉีดโบท็อกครั้งก่อน ๆ ที่ผ่านมา

·         ถ้าเป็นผู้มีภาวะเลือดหยุดยาก เขียวช้ำง่าย

·         ในอนาคตมีกำหนดการที่จะเข้ารับการผ่าตัด

·         เป็นผู้มีภาวะหนังตาตกอยู่

ควรแจ้งเกี่ยวกับยาที่คนไข้กำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน ให้คุณหมอทราบด้วย

ยาในกลุ่มที่หากคนไข้ได้รับพร้อมกับโบท็อก แล้วจะเกิดอันตรายมาก (Major side effect) มีดังนี้

กลุ่มยาฆ่าเชื้อ ”แบบฉีด” บางตัว สามารถเสริมฤทธิ์โบท็อกแล้วทำให้เกิดอันตรายได้ จึงห้ามใช้ร่วมกับโบท็อก

amikacin, colistin, polymyxin E, gentamicin, kanamycin, neomycin, netilmicin, plazomicin, polymyxin B, spectinomycin, streptomycin, tobramycin.

กลุ่มยาคลายกล้ามเนื้อ atracurium, cisatracuirum, doxacurium, metocurine, mivacurium, pancuronium, pipecuronium, rapacuronium, rocuronium, succinylcholine, tubocurarine, vecuronium.

ยาฆ่าเชื้อและยาคลายกล้ามเนื้อที่อยู่นอกเหนือจากรายการข้างบนนี้ สามารถใช้ร่วมกันกับโบท็อกได้โดยไม่เป็นอันตรายครับ

กลุ่มยาที่ใช้ร่วมกับโบท็อกแล้วอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในระดับปานกลาง แต่ไม่เป็นอันตราย จะมีอาการเช่น ปากแห้ง ตาพร่า รอยช้ำ (และหากมีอาการรุนแรง คนไข้สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อปรับชนิดยาที่ใช้ได้) ได้แก่ กลุ่มยาต้านเกร็ดเลือด, กลุ่มยาแก้หวัด, แก้แพ้ รวมถึงกลุ่มยานอนหลับ

และหลังฉีดโบท็อกไปแล้วในระยะเวลา 4 เดือน หากคนไข้จะรับยาตัวอื่นเพิ่มเติม ต้องแจ้งให้คุณหมอที่จะจ่ายยาทราบด้วยว่าเพิ่งไปฉีดโบท็อกมา

ตัวอย่างผลการปรับรูปหน้า โดยทีมแพทย์ V Square Clinic

รีวิวโบท็อกลดกรามหน้าเรียว-แฟตลดแก้ม


ตัวอย่างรีวิว ผลการรักษาด้วยโบท็อกลดกรามหน้าเรียว และเมโสแฟตลดแก้ม

รีวิวโบท็อก

ตัวอย่างรีวิว ผลการรักษาด้วยโบท็อกลดกราม หน้าเรียว

โบท็อกลดกราม-100-unit

ตัวอย่างรีวิว ผลการรักษาด้วยโบท็อกลดกราม 100 Unit

เอกสารอ้างอิง

1. Mark Hallett. (2015). Explanation of Timing of Botulinum Neurotoxin Effects, Onset and Duration, and Clinical Ways of Influencing Them. แหล่งข้อมูล:https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4658210/?report=classic

2. Briefel RR, Bialostosky K, Kennedy-Stephenson J, McDowell MA, Ervin RB, Wright JD. (1988-1994). Zinc intake of the U.S. population: findings from the third National Health and Nutrition Examination Survey, The Journal of nutrition. 2000 May;130(5S Suppl):1367S–73S.

3. นพ. วัลลภ พรเรืองวงศ์. (2522). พบคนไทยเสี่ยงขาดธาตุสังกะสี(zinc). แหล่งข้อมูล:https://www.gotoknow.org/posts/304343

4. Flynn TC. Am J Clin Dermato. (2010). Botulinum toxin: examining duration of effect in facial aesthetic applications. แหล่งข้อมูล:https://www.ncbi.nlm.nih.gov/m/pubmed/20369902/

5. Eleopra R, Tugnoli V, De Grandis D, (1997).The variability in the clinical effect induced by botulinum toxin type A: the role of muscle activity in humans. Mov Disord 12(1) 89–94.

6. Simpson L, (2013). The life history of a botulinum toxin molecule. Toxicon Jun 68:40–59.

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.vsquareclinic.com/blogs/botox/