ร้อยไหมก้างปลา
ร้อยไหมก้างปลา คือ อีกชื่อเรียกหนึ่งของ การร้อยไหมเงี่ยง (barb) ที่แพทย์ส่วนใหญ่มักใช้เรียกกัน ส่วนอีกชื่อหนึ่งคือ ไหมก้างปลา ที่แพทย์ไทยตั้งขึ้นมาเอง เพราะเงี่ยงไหมมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับก้างปลา เพื่อจะได้ใช้อธิบายให้คนไข้เข้าใจได้อย่างเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น โดยวัตถุประสงค์ของไหมชนิดนี้คือการดึงใบหน้าให้ยกกระชับขึ้น
เงี่ยงลักษณะดังกล่าวในทางการแพทย์ มีชื่อเรียกว่า bidirectional barbed thread ไม่ได้เรียกว่า ก้างปลา (fishbone) รวมทั้งยังมีการตั้งชื่อเรียกกันขึ้นมาเองอีกหลายชื่อโดยคนไทย อาทิเช่น ไหมทับทิม ไหมเงี่ยงกุหลาบ ไหมจระเข้ ไหมปิรันย่า ไหมปากฉลาม ไหมมังกร ไหม double-lock และไหมทอร์นาโด
ทั้งนี้ ในทางการแพทย์ ไหมที่มีชื่อเรียกต่าง ๆ ดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นไหมเงี่ยง bidirectional barbed thread ทั้งหมด มิได้มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ด้วยเหตุผลทางการค้าจึงมีการตั้งชื่อเรียกให้แตกต่างกันออกไป
วัสดุที่ใช้ทำเส้นไหมที่ปลอดภัย ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างกัน เป็นสิ่งที่คนไข้ควรให้ความสำคัญ โดยแบ่งออกเป็น 3 ชนิด อันได้แก่ PDO PLLA PCL โดยเส้นไหมมีหน่วยวัดขนาดเป็นสากล ได้แก่ USP2-0, USP0, USP1, USP2
การแบ่งวัสดุและขนาดของเส้นไหมตามหลักสากลนี้ จะช่วยให้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนถึง คุณภาพไหมแต่ละชนิด ดึงหน้าได้ดีเพียงไร ร้อยไหมกี่วันเห็นผล รวมถึงทำแล้วอยู่ได้นานไหม
![ร้อยไหมก้างปลา-9ccce1c9--pdo](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/ร้อยไหมก้างปลา-9ccce1c9-pdo-1024x576.jpg)
รูปภาพเปรียบเทียบไหมก้างปลาชนิด PDO ที่มีลักษณะเงี่ยงและขนาดต่างกัน จะมาเจาะลึกว่า ร้อยไหมอะไรดีที่สุด? ในบทความนี้
1. เพราะอะไรจึงมีบางคนบอกว่า ร้อยไหมแล้วไม่ได้ผล
หากย้อนกลับไปในอดีตเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว เทคนิคด้านการ ร้อยไหมก้างปลายังไม่ค่อยแพร่หลายหากเทียบกับปัจจุบันนี้ การร้อยไหมโดยทั่วไปจะใช้ไหมเรียบ (mono) ที่มีลักษณะเส้นเล็กและสั้น โดยร้อยเข้าไปในผิวชั้นตื้น เพื่อช่วยเติมเต็มผิวและลดริ้วรอยคล้ายกับฟิลเลอร์ แต่ไม่สามารถที่จะดึงยกกระชับผิวได้ ซึ่งผลลัพธ์จะไม่เป็นที่น่าประทับใจ ต่างไปจากคำที่โฆษณาไว้ ผลที่ได้นั้นเกิดจากอาการบวมในช่วง 2-3 อาทิตย์แรกหลังฉีดเท่านั้น โดยคนไข้หลายคนที่เคยเสียเงินจำนวนมากลองทำแล้วไม่ได้ผล จึงทำให้หลายคนเข็ดกับการร้อยไหม
การร้อยไหมในปัจจุบันนี้เกือบทั้งหมดจะเป็น การร้อยไหมก้างปลา อีกทั้งการร้อยไหมเป็นหัตถการที่ได้ผลดีมากเมื่อเทียบกับราคาที่ไม่แพง จึงส่งผลให้เริ่มกลับมานิยมการร้อยไหมกันมากยิ่งขึ้น ส่วนการร้อยไหม mono เพื่อยกกระชับใบหน้า ทุกวันนี้จะไม่มีแล้วในเกือบทุกคลินิก หากต้องการผลที่คล้ายกับการร้อยไหม mono มักจะนิยมทำ Hifu แทนเนื่องจากผลที่ได้ชัดเจนกว่าและอยู่ได้นานกว่า
![ภาพเปรียบเทียบไหมเรียบกับไหมก้างปลา](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/ภาพเปรียบเทียบไหมเรียบกับไหมก้างปลา-1024x576.jpg)
ภาพเปรียบเทียบไหมเรียบ (mono) เส้นบน กับไหมก้างปลา (barb) เส้นล่าง การร้อยไหม mono ในสมัยก่อนไม่ค่อยเห็นผล เนื่องจากไหม monoไม่มีเงี่ยงที่ช่วยในการดึงผิวที่หย่อนคล้อย
2. ไหมก้างปลาลักษณะใด ที่ควรเลือกใช้ จึงดีที่สุด
คุณสมบัติของไหมก้างปลาที่ดีที่สุด ควรมีลักษณะดังนี้
2.1 ไหมก้างปลาที่ดีที่สุด มีคุณสมบัติอยู่ได้นาน ควรทำจากวัสดุที่ละลายช้า
![เปรียบเทียบไหมแต่ละประเภท](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/เปรียบเทียบไหมแต่ละประเภท.jpg)
วัสดุที่ใช้ ร้อยไหมก้างปลา เป็นไหมละลายที่ใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัย เช่น ใช้ในการผ่าตัดเย็บหัวใจ ได้แก่ PDO PLLA และ PCL ในขณะที่ไหมละลายจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวบริเวณที่ร้อยไหมกระชับขึ้นแข็งแรงขึ้นด้วย
![ตารางเปรียบเทียบไหมแต่ละประเภท](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/ตารางเปรียบเทียบไหมแต่ละประเภท.jpg)
· ไหม PLLA : จุดเด่น คือ ความแข็ง ส่วนข้อเสีย คือ เปราะหักง่าย
· ไหม PCL : จุดเด่น คือ ความยืดหยุ่น ซึ่งปัจจุบันนี้ไหม PCL+PLLA จัดเป็นวัสดุเส้นไหมที่ดีที่สุด เนื่องจากไหม PCL รุ่นล่าสุดมีส่วนผสมของ PLLA ในสัดส่วนที่เหมาะสมอีกด้วย
ร้อยไหมก้างปลา อยู่ได้นานแค่ไหน?
ถึงแม้ว่าเส้นไหม PCL+PLLA ตามปกติจะอยู่ได้นานประมาณ 18-24 เดือน แต่ในคนไข้บางรายที่โครงสร้างผิวขาดคอลลาเจนและอีลาสติน ไหมจะไม่สามารถพยุงผิวได้นานขนาดนั้นเสมอไป เนื่องจากผิวจะหลุดออกจากเส้นไหมก่อนที่ไหมจะละลายไปหมด ส่งผลให้การยกพยุงของเส้นไหมจะอยู่ได้สั้นลงกว่าที่ควรจะเป็น
แต่เนื่องจากไหมที่ร้อยไปก่อนหน้านี้จะสร้างอีลาสตินขึ้นมา เราจึงสามารถแก้ไขด้วยการร้อยไหมเพิ่มเข้าไปใหม่ในแนวเดิม จะส่งผลให้การร้อยไหมในครั้งต่อไป ผิวจะยึดเกาะได้ดีขึ้นและผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้นเรื่อย ๆ
ร้อยไหมก้างปลา แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร
สำหรับคนผู้ที่กำลังสนใจอยากจะร้อยไหม ต้องถือว่าพลาดอย่างแน่นอนถ้ายังไม่ได้ดูคลิป VDO นี้ เนื่องจากเป็นการสาธิตให้เห็นถึงการร้อยไหมแต่ละชนิดนั้นแตกต่างอย่างไรบ้าง
ร้อยไหมอะไรดีที่สุด? ร้อยไหมแต่ละชนิดต่างกันอย่างไร? | V Square Clinic
2.2 ไหมก้างปลาเส้นใหญ่ เงี่ยงใหญ่ จะอยู่ได้นานยิ่งขึ้น เนื่องจากละลายช้า
![usp](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/usp-1024x157.png)
ตารางเปรียบเทียบขนาดของเส้นไหมตามหน่วยวัดสากล USP
![ขนาดของเส้นไหมก้างปลา](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/ขนาดของเส้นไหมก้างปลา-1024x921.jpg)
สามารถสังเกตได้จาก สีของเข็มที่ใช้ ร้อยไหมก้างปลา ซึ่งเป็นวิธีดูขนาดของเส้นไหมก้างปลา (ตามรูปด้านบน ไล่จากซ้ายไปขวา) ได้แก่
· เข็มสีเทา 27G : ใช้สำหรับการร้อยไหมที่มีขนาด USP 5-0
· เข็มสีส้ม 25G : ใช้สำหรับการร้อยไหมที่มีขนาด USP 4-0
· เข็มสีฟ้า 23G : ใช้สำหรับการร้อยไหมที่มีขนาด USP 3-0
· เข็มสีเขียว 21G : ใช้สำหรับการร้อยไหมที่มีขนาด USP 2-0 โดยเข็มชนิดนี้มักนิยมใช้กันในคลินิกทั่วไป เนื่องจากเข็มมีขนาดเล็ก จึงร้อยง่าย ไม่ต้องใช้ความชำนาญสูงก็ทำได้ ทำให้เกิดบวมช้ำน้อย แต่ผลที่ได้อาจจะอยู่ไม่นานเพราะไหมมีขนาดเล็ก
· เข็มสีเหลืองอ่อน 20G : ใช้สำหรับการร้อยไหมที่มีขนาด USP0
· เข็มสีน้ำตาล 19G : ใช้สำหรับการร้อยไหมที่มีขนาด USP1
· เข็มสีชมพู 18G : ใช้สำหรับการร้อยไหมที่มีขนาด USP2 (ซึ่งในปัจจุบันนี้ ถือเป็นไหมก้างปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด)
![ขนาดของเส้นไหมก้างปลา-คลินิกทั่วไป](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/ขนาดของเส้นไหมก้างปลา-คลินิกทั่วไป.jpg)
ไหมก้างปลาในคลินิกทั่วๆไปจะมีขนาด USP 3/0 , 2/0 สังเกตได้จากสีของเข็มที่ใช้ร้อยไหมจะเป็น สีฟ้า(23G) หรือ สีเขียว(21G)
![ขนาดของเส้นไหมก้างปลา-vsquareclinic](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/ขนาดของเส้นไหมก้างปลา-vsquareclinic-844x1024.jpg)
ที่ V Square clinic หมอจะเลือกใช้ไหมก้างปลาเส้นที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้คือ USP2 USP1 USP0 เข็มที่ใช้ร้อยไหมจะเป็นเข็มสี สีชมพู(18G) สีน้ำตาล(19G) หรือ สีเหลืองอ่อน(20G)
2.3 ไหมก้างปลาที่มีความยืดหยุ่นสูง จึงเป็นไหมที่ดี
ไหม PCL มีลักษณะไม่เปราะหรือขาดง่าย มีความยืดหยุ่นสูงที่สุด ทนต่อการขยับได้ดี (ตามที่ได้อธิบายไว้ในข้อ 1) ในขณะที่ไหม PLLA มีข้อดีคือ แข็งทนทานต่อแรงดึงได้ดีที่สุด แต่เมื่ออยู่ในผู้ที่มีการขยับใบหน้าตลอดเวลาจะเปราะและขาดได้ง่าย
2.4 ไหมก้างปลา สามารถช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างคอลลาเจน
เพื่อช่วยให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้นหลังจากที่ร้อยไหม ไหม PCL รุ่นล่าสุดจึงได้มีการนำ PLLA มาผสมเข้าไปด้วย เพราะ PLLA สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และอิลาสติน (elastin) ได้มากที่สุด
3. ตัวอย่าง ไหมก้างปลา ชนิดต่างๆ
![ไหมก้างปลา-abc](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/ไหมก้างปลา-abc-1024x518.jpg)
ร้อยไหมก้างปลา ตัวอย่างไหมก้างปลาชนิดต่างๆ
เรียงจากซ้ายไปขวา
· A.ไหมก้างปลา PDO USP 0 รุ่นมาตรฐาน
· B.ไหมก้างปลา PDO USP 2 (เส้นใหญ่ที่สุด)
· C.ไหมก้างปลา PCL USP2 (เส้นใหญ่ที่สุด ดีที่สุด)
![ไหมก้างปลา-pdo-usp2](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/ไหมก้างปลา-pdo-usp2-1024x576.jpg)
หากทำการเปรียบเทียบระหว่าง ไหมก้างปลา pdo USP2 (รูปภาพด้านบน) กับ ไหมกุหลาบ(MINT) pdo USP2 (รูปภาพด้านล่าง) หากเพียงแค่ดูจากรูปภาพ หลายคนอาจคิดว่าไหมกุหลาบ MINT น่าจะดีกว่า แต่ไหมกุหลาบ ในกระบวนการผลิตส่วนของเส้นไหม A กับส่วนของเงี่ยงไหม B ไม่ได้ถูกหลอมขึ้นมาพร้อม ๆ กัน แต่จะถูกหลอมแล้วจึงนำมาเชื่อมติดกันตามรอยเส้นปะในภายหลัง
ดังนั้นเมื่อไหมละลาย ส่วน A กับ B จะหลุดออกจากกันก่อน ทำให้ไม่สามารถดึงผิวไว้ได้นานกว่าไหมก้างปลาตามที่มีการโฆษณา จึงส่งผลให้ไหมกุหลาบไม่เป็นที่นิยมในทุกวันนี้ รวมถึงในขั้นตอนการร้อยไหมกุหลาบยังจำเป็นต้องใช้เข็มที่ขนาดใหญ่กว่ามาก ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดอาการบวมช้ำได้มาก และราคาก็แพงกว่ามากด้วย
![ไหมกรวย silhouette](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/ไหมกรวย-silhouette-1024x1024.jpg)
ไหมกรวย silhouette เป็นวัสดุประเภท PLLA ที่เห็นในรูปภาพบนคือรูปภาพที่ใช้ในการโฆษณา แต่ในรูปภาพล่างเป็นรูปของเส้นไหมจริง ซึ่งถ้าเราดูแต่ในรูปโฆษณาอาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดได้ว่า ไหมกรวยนั้นมีขนาดใหญ่น่าจะดึงผิวได้เป็นอย่างดี แต่ในข้อเท็จจริงแล้วไหมกรวยมีราคาที่สูงมาก และขนาดเส้นค่อนข้างเล็ก (USP 0) จึงไม่เป็นที่นิยมใช้ในการร้อยไหม
4. การร้อยไหมก้างปลา ควรใช้กี่เส้น จึงจะดีที่สุด
การร้อยไหมควรจะใช้ไหมก้างปลาข้างละกี่เส้น ก่อนทำคุณหมอจะเป็นผู้ประเมินคนไข้ทุกเคส ซึ่งตามปกติจะใช้ไหมข้างละ 3-10 เส้น รวมทั้งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
· จุดใดบ้างที่คนไข้ต้องการดึง
· คนไข้มีเนื้อแก้มมากแค่ไหน
· ผิวหน้าของคนไข้มีความแน่นมากเพียงใด
หากเปรียบเทียบกับการใช้เชือกจำนวนหลายเส้นในการยกของย่อมแข็งแรงมั่นคงและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น ในกรณีที่คนไข้ต้องการให้อยู่ได้นานขึ้นกว่าปรกติ สามารถใช้จำนวนเส้นที่เยอะขึ้นได้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินจำนวนเส้นไหมที่ต้องใช้ตามความเหมาะสมกับคนไข้แต่ละราย
ที่ V Square Clinic จะมี 2 วัสดุให้เลือก คือ PDO กับ PCL+PLLA ซึ่งคลินิกจะเลือกใช้ไหมก้างปลาที่ดีที่สุดเท่านั้น และเส้นใหญ่ที่สุดอีกด้วย
ไหมก้างปลา ชนิด PDO
· ร้อยไหมก้างปลา จำนวน 6 เส้น ราคา 6,999 .- บาท
· ร้อยไหมก้างปลา จำนวน 10 เส้น ราคา 9,900 .- บาท
· ร้อยไหมก้างปลา จำนวน 12 เส้น ราคา 11,000 .- บาท
ไหมก้างปลา ชนิด PCL+PLLA
· ร้อยไหมก้างปลา จำนวน 4 เส้น ราคา 9,900 .- บาท
· ร้อยไหมก้างปลา จำนวน 6 เส้น ราคา 13,000 .- บาท
· ร้อยไหมก้างปลา จำนวน 10 เส้น ราคา 19,999 .- บาท
5. รีวิว ร้อยไหมก้างปลา
![รีวิว ร้อยไหมก้างปลา](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/รีวิว-ร้อยไหมก้างปลา-1024x1024.jpg)
![รีวิว ร้อยไหมก้างปลา](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/รีวิว-ร้อยไหมก้างปลา2-1024x1024.jpg)
![รีวิว ร้อยไหมก้างปลา](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/รีวิว-ร้อยไหมก้างปลา3-1024x1024.png)
![รีวิว ร้อยไหมก้างปลา](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/รีวิวร้อยไหมก้างปลา-4-1024x1024.jpg)
![รีวิว ร้อยไหมก้างปลา](https://www.jumjai.com/wp-content/uploads/2020/05/รีวิว-ร้อยไหมก้างปลา5-1024x1024.jpg)
รีวิวร้อยไหมก้างปลา
*ผลการรักษาแตกต่างกันแต่ละบุคคล
6. ร้อยไหมก้างปลากี่วันเห็นผล? หลังร้อยไหมหน้าบวมกี่วัน?
สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังการร้อยไหม เพราะเงี่ยงไหมที่มีลักษณะคล้ายตะขอจะเกี่ยวดึงผิวขึ้น โดยปกติในช่วง 3-4 วันแรกหลังร้อยไหมจะมีอาการบวมมากขึ้น ภายใน 14 วันหลังจากร้อยไหม อาการบวมจะค่อย ๆ ยุบลงจนกระทั่งใบหน้าเข้าที่ แต่หากครบ 4 วันแล้วคนไข้ยังมีอาการปวดมากขึ้น บวมแดงมากขึ้น ต้องรีบกลับไปที่คลินิกเพื่อให้แพทย์ทำการตรวจประเมินและจ่ายยาให้กินเพิ่มเติม
รูปหลังจากร้อยไหมเสร็จทันที (ในภาพรีวิวด้านบน) จะเห็นได้ว่าคนไข้เกือบทุกเคสจะบวมช้ำไม่มาก เนื่องจากการปฏิบัติตัวโดยเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ทั้งก่อน และหลังร้อยไหม และปัจจุบันนี้ เทคนิคการร้อยไหมก้างปลามีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการใช้เข็มทู่ และฉีดยาชา จึงช่วยให้คนไข้โดยส่วนใหญ่หลังจากทำแล้วหน้าจะบวมไม่มาก ภายในระยะเวลา 7-14 วันมักจะดีขึ้น 80% โดยเฉลี่ย
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.vsquareclinic.com/blogs/thread-lift/
เอกสารอ้างอิง
1. A.C. Vieira, J.C. Vieira, R.M. Guedes, A.T. Marques. EXPERIMENTAL DEGRADATION CHARACTERIZATION OF PLA-PCL, PGA-PCL, PDO AND PGA FIBRES. แหล่งข้อมูล:http://iccm-central.org/Proceedings/ICCM17proceedings/Themes/Behaviour/SUSTAIN%20GREEN%20COMP/F23.9%20Vieira.pdf
2. Silhouette Soft. thread lift. แหล่งข้อมูล:https://silhouette-soft.com/the-procedure/
3. Jake Yoon. MINT (Minimal Invasive Non-Surgical Thread). แหล่งข้อมูล:https://youtu.be/hhgQcIERo5w