อาหารล้างพิษในตับ
กลไกในร่างกายของเรานั้นทำงานสอดรับกันตลอด เหมือนโรงงานที่มีหลายแผนกเลย ถ้าขาดแผนกหนึ่งแผนกใดอาจทำให้สินค้าที่ได้รับบกพร่องไป ร่างกายของเราก็เหมือนกัน หากมีอวัยวะส่วนใดทำงานผิดปกติก็อาจส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาได้ ส่วนใหญ่แล้วโรคภัยไข้เจ็บมักเกิดจากการใช้ชีวิตของเรา อย่างเช่น โรคตับ ไม่ว่าจะเป็น ตับโต ตับอักเสบ เชื้อไวรัสตับอักเสบ ภาวะไขมันสะสมในตับ หากคุณไม่อยากเป็นก็ต้องฝึกทานอาหารล้างพิษในตับ ซึ่งก็เป็นอาหารที่เราทานได้ทั่วไปนี่แหละ งั้นเราไปดูกันดีกว่าว่าอาหารล้างพิษในตับนั้นมีอะไรบ้าง
วิธีล้างตับ ด้วยตัวเอง
ด้วย ” ผลไม้ล้างตับ “ หาทานง่าย บอกเลย ราคาไม่แพงอย่างที่คิด
- เกรปฟรุต (ผลไม้ตระกูลส้ม)
เพราะเป็นผลไม้ตระกูลส้มนี้ล่ะ จึงถือเป็นอาหารล้างพิษในตับที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก นอกจากนี้ยังมีส้ม เลม่อนและมะนาวด้วย ซึ่งช่วยในการกระตุ้นเอนไซม์ให้ช่วยขับสารพิษออกจากตับ
- สารสกัดจากชาเขียว
ควรดื่มเครื่องดื่มที่สกัดจากใบชาเขียว เพราะชาเขียวจึงถือเป็นอาหารล้างพิษในตับ และในใบชาเขียวนั้นมีสารคาเทชิน ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อม ที่หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพงและยังส่งผลดีต่อสุขภาพด้วย
- ผักใบเขียว
ทุกมื้ออาหารของเราควรมีผักใบเขียว ซึ่งเป็น อาหารล้างพิษในตับ จะทานแบบดิบ แบบสุกหรือจะคั้นน้ำก็ได้ โดยผักใบเขียวนั้นช่วยดูดซับสารพิษที่อยู่ในกระแสเลือด ทำให้ตับทำงานน้อยลงนั่นเอง
- แอปเปิล
แอปเปิลนั้นมีรสชาติดี และมีสารเพคตินจำนวนมากและถือเป็นอาหารล้างพิษในตับ เพราะสารเพคตินนั้นช่วยให้กระบวนการกำจัดสารพิษในร่างกายทำได้ง่ายขึ้น จึงส่งผลต่อการทำงานของตับโดยตรง ทำให้ตับนั้นทำงานน้อยลงนั่นเอง
- น้ำมันมะกอก
ของดีประจำบ้าน ใช้งานได้หลากหลายด้วย ถือเป็นอาหารล้างพิษในตับ น้ำมันมะกอกนั้นจะมีไขมันดีที่ช่วยดูดซับสารพิษจากร่างกาย ช่วยลดภาระของตับได้ทางหนึ่งด้วย และนอกจากนี้ยังมีน้ำมันชนิดอื่นอีก เช่น น้ำมันกัญชง (ใบจะคล้ายกัญชามาก แต่ว่าปลูกเพื่อนำเส้นใยมาแปรรูป และในแต่ละแปลงจะมีการตรวจสอบไม่ให้ปลูกมากไป เพราะต้นกัญชงมีฤทธิ์ต่อระบบประสาท) และน้ำมันเมล็ดลินิน
- ธัญพืชทางเลือก
การทานข้าวฟ่าง ควินัว หรือว่าบัควีคจะช่วยให้ตับทำงานได้และเป็นอาหารล้างพิษในตับได้ แต่ว่าหากคุณมีอาการแพ้ธัญพืชประเภทกลูเตน (สารที่อยู่ในข้าวสาลี ข้าวบาเล่ย์ ข้าวไรซ์) ก็ควรต้องหลีกเลี่ยงเพราะว่าอาจทำให้เกิดความผิดปกติต่อเอนไซม์ในตับ
- ขมิ้น
สุดยอดเครื่องเทศที่เป็นมิตรต่อตับ เป็นอาหารล้างพิษในตับอย่างแท้จริง สารในขมิ้นจะทำหน้าที่เป็นเอนไซม์คอยขจัดและดูดซึมสารพิษในร่างกาย ทำให้ตับของเรานั้นทำงานน้อยลง เพราะฉะนั้นต่อไปลองทำอาหารแล้วผสมผงขมิ้นลงไปดูบ้าง รับรองว่าตับของคุณจะแข็งแรงแน่นอน
- วอลนัท
ถั่ววอลนัลนั้นมีกรดอะมิโนอาร์จีนีน และยังช่วยล้างสารแอมโมเนียในตับจึงเป็นอาหารล้างพิษในตับชนิดหนึ่ง ที่เราควรมีไว้ติดบ้าน แต่ถ้าอยากได้คุณประโยชน์เต็มๆ ก็แค่นำวอลนัทมาเคี้ยวจนละเอียด น้ำในวอลนัทจะออกมา นั่นแหละคุณประโยชน์ที่คุณจะได้รับเต็มๆ แถมในวอลนัทยังมีสารกลูต้าไธโอนและกรดไขมันโอเมก้า 3 อีกด้วย
- ผักตระกูลกะหล่ำ
ผักตระกูลกะหล่ำจะมีสารกลูโคซิโนเลต เป็นอาหารล้างพิษในตับ และยังมีเอนไซม์ตามธรรมชาติที่ช่วยชะล้างสารก่อมะเร็งอีกด้วย เพราะฉะนั้นหากกินผักตระกูลกะหล่ำก็สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลงได้
- กระเทียม
กระเทียมนั้นจะมีกำมะถัน จะช่วยกระตุ้นเอนไซม์ที่ใช้ล้างสารพิษ ต้านเชื้อแบคทีเรียจึงเป็นอาหารล้างพิษในตับ ช่วยป้องกันตับจากสารพิษ แถมกระตุ้นกกระบวนการดีท็อกซ์ด้วย
- บีทรูทและแครอท
ในบีทรูทและแครทนั้นมีสารที่ช่วยให้ตับทำงานดีขึ้นจึงเป็นอาหารล้างพิษในตับ ซึ่งสารนั้นคือฟลาโวนอยด์และเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยส่งเสริมให้ตับทำงานได้อย่างปกติ เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ตับแข็งแรงก็ควรทานบีทรูทและแครอทบ้าง
ทั้งหมดนี้คือ 10 อาหารล้างพิษในตับ ซึ่งคุณนั้นสามารถหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง มีติดบ้านไว้ไม่เสียหลายเลย และที่สำคัญคุณต้องรู้จักดูแลสุขภาพตนเองอยู่เสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหารล้างพิษในตับ เพราะว่าตับนั้นมีหน้าที่กรองสารพิษหรือของเหลือออกจากร่างกาย และคอยเก็บกักสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเอาไว้ ช่วยสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในร่างกาย เพราะฉะนั้นคิดดูก็แล้วกัน หากตับของเราอ่อนแอ ก็เท่ากับว่าร่างกายของเราต้องมีสารพิษหรือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ตกค้างในร่างกายจำนวนมาก ส่งผลให้ร่างกายของเรานั้นมีอาการเจ็บป่วย อาจจะเป็นโรคตับหรือโรคอื่นๆได้ ซึ่งเป็นโรคภายในร่างกาย เราอาจจะไม่ทราบก็ได้ว่าเรากำลังเป็นอยู่ เพราะฉะนั้นหากเกิดความผิดปกติในร่างกายเราควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและเข้ารับการักษาต่อไป แต่สิ่งสำคัญนั่นคือ การที่เรานั้นทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทำจิตใจให้แจ่มใส แค่นี้โรคภัยก็ไม่มาเยือนแล้ว
หากใครยังอ่านไม่จุใจ สามารถคลิกเข้าไปอ่าน บทความสุขภาพ ต่อได้ทันที